วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลิลิตพระลอ

ลิลิตพระลอ


ลิลิตพระลอ เป็นนิยายท้องถิ่นของไทยภาคเหนือ  เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องจริง  ในหลักฐานพงศาวดารกล่าวว่า  พระลอเป็นคนสมัยเดียวกับท้าวฮุ่ง  จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ.๑๖๑๖-๑๖๙๓  และยังสันนิษฐานกันว่า  เมืองสรองคงจะเป็นตอนเหนือของอำเภอร้องกวาง  จังหวัดแพร่  ส่วนเมืองสรวงคงจะเป็นเขตอำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง          ลิลิตพระลอ  เป็นวรรณคดีสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของไทย  วรรณคดีสโมสรยกย่องให้เป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิต  ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่งและแต่งเมื่อใด  มีผู้สนใจศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานเกี่ยวกับผู้แต่งและระยะเวลาในก ารแต่งแต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าแต่งในสมัยใด   ระหว่างสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ   สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒  หรือสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชผู้แต่ง :   อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนาร ายณ์มหาราช(พ.ศ. ๒๒๐๕)
ทำนองแต่ง :  เป็น คำประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบทเป็นร่ายโบราณ  บางบทแต่งได้ไพเราะถูกต้องตามฉันทลักษณ์บังคับจนเป็นตัวอย่างได ้
ความมุ่งหมาย : แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญพระราชหฤทัยเรื่องย่อ : เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอ  กษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้องพระทัยของพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณ ุกร  กษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรย  พระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จ มาเมืองสรวง   เมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้วนายขวัญพระพี่เลี้ยง  พระ ลอทรงเสี่ยงทายน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงฝืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปู่เจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปจนถึงสวนหล วง   นางรื่นนางโรยพี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง  ออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระเพื่อน พระแพง   ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการอภิ เษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้    แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาทพระลอ   อ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระแพงและพี่เลี้ยง   พระลอ  พระเพื่อน  พระแพง และพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมด   ท้าวพิชัยพิษณุกรพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร   รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน   พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์ทั้งสาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองก็กลับมาเป็นไมตรีต่อกัน
คุณค่าของหนังสือ :          ๑.  ด้านภาษาและสำนวนโวหาร  วรรณคดีเรื่องนี้มีสำนวนโวหารไพเราะ  เนื้อเรื่องดี  การใช้ถ้อยคำปลุกอารมณ์ผู้อ่านได้ดีทั้งอารมณ์โศก  อารมณ์เคียดแค้น  อารมณ์รักและอารมณ์กล้าหาญ ผู้แต่งถือหลักว่ามนุษย์มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง อยู่เป็นประจำตามวิสัยของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ตัวละครจึงมีชีวิตเลือดเนื้อเจือด้วยความรัก  ความโลภ  ความโกรธ และความหลง  ดังเช่น  พระนางบุญเหลือมีความรักลูก  ท้าวพิชัยพิษณุกรมีใจนักเลงไม่อาฆาตพยาบาท  พระเจ้าย่ามีความเคียดแค้น  เป็นต้น  หนังสือลิลิตพระลอเป็นหนังสือที่มีคุณค่า   ใช้ถ้อยคำไพเราะกินใจดี  มีความเปรียบเทียบที่คมคาย  จับใจผู้อ่าน  สมดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นเรื่องว่า  “ใครฟังย่อมใหลหลง  ฤาอิ่ม  ฟังนา”  โคลงบางบทได้รับการยกย่องว่าเป็นโคลงครูมาแต่โบราณ  ได้แก่โคลง  “เสียงฤาเสียงเล่าอ้าง  อันใด  พี่เอย”  การใช้ภาษามีถ้อยคำรุ่นเก่าปะปนอยู่มาก  เช่นเดียวกับมหาชาติคำหลวงและลิลิตยวนพ่าย  ทำให้สามารถใช้ศึกษาการใช้คำในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นได้          ๒.  ด้านความรู้  ลิลิตพระลอให้ความรู้ด้านต่าง ๆ หลายประการ  ได้แก่                ๒.๑  ความรู้ด้านตำนานพื้นเมือง  ลิลิตพระลอเป็นตำนานพื้นเมืองของไทยภาคเหนือ  ฉะนั้นจึงให้ความรู้เกี่ยวกับตำนานหรือนิยายพื้นเมืองแก่ผู้อ่า น                ๒.๒  ความรู้ด้านโบราณคดี  ลิลิตพระลอเป็นตำนานพื้นเมืองที่เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่และจังหว ัดลำปาง  ฉะนั้น  สถานที่ของตำนานเรื่องนี้จึงอยู่ที่จังหวัดทั้งสอง  สันนิษฐานกันว่าเมืองสรองคงอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอร้องกวาง  จังหวัดแพร่  ส่วนเมืองสรวงคงเป็นเมืองในเขตอำเภอแจ้ห่ม  จังหวัดลำปาง  และยังให้ความรู้เกี่ยวกับชื่อสถานที่  แม่น้ำ  ตลอดจนมีเจดีย์  ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิพระลอและพระเพื่อนพระแพง                ๒.๓  ความรู้ด้านการรบ  วรรณคดีเรื่องนี้ให้ความรู้เกี่ยวกับการรบและการต่อสู้สมัยโบรา ณ  มีการใช้อาวุธต่าง ๆ ดังร่ายว่า “ผันเข้าคลุกรุกรบ  หลบหลีกปืนบได้ดอก  หลบหลีกหอกบ่ได้ต้อง  เขาเร่งซ้องเป็นยะยุ่ง  ซ้องหอกพุ่งยะย้าย  ข้างซ้ายเร่งมาหนา  เข้าทุกปลากรุกโรม  สองนายโจมฟั่นเฟื่อง  เครื่องพลัดตัวหัวขาด  เขาก็สาดศรยึง  ตรึงนายแก้วยะยัน”          ๓.  ด้านสังคมและวัฒนธรรม                 ๓.๑  การปกครอง  ลิลิตพระลอแสดงให้เห็นถึงลักษณะการปกครองสมัยโบราณ  เมืองทั้งหลายต่างก็เป็นอิสระต่อกัน  มีเจ้าผู้ครองนคร  ดังเช่นเมืองสรองและเมืองสรวง               ๓.๒  ชีวิตความเป็นอยู่  ลิลิตพระลอสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่และสภาพสังคมสมัยนั้น  เช่น  การตั้งครรภ์และเลี้ยงลูก            นอกจากจะกล่าวถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่แล้ว  ยังแสดงให้เห็นถึงสภาพของสังคม  เช่น  การนับถือผี  เชื่อไสยศาสตร์  มีการทำเสน่ห์  เป็นต้น  ดังร่ายว่า  “ผีบันดาลไฟคละคลุ้ม  ให้ควันกลุ้มเวหา  ด้วยแรงยาแรงมนต์”                ๓.๓  ความเชื่อในศาสนา  ลิลิตพระลอ  ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อในพุทธศาสนา  เช่น  ความเชื่อในกฎแห่งกรรม    ๓.๔  ขนบธรรมเนียมประเพณี  วรรณคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องทางภาคเหนือ  จึงมีวัฒนธรรมประเพณีทางภาคเหนืออยู่มาก เช่น  การขับซอยอยศและยังมีประเพณีการทำศพในสมัยโบราณ  ดังเช่น  การทำศพของพระลอ  พระเพื่อนพระแพง  เป็นต้น                ๓.๕  คติธรรม  ลิลิตพระลอให้คติธรรมในการดำเนินชีวิตหลายประการ  เช่น  กล่าวถึงธรรมะของผู้ใหญ่  ดังเช่นในร่ายว่า  “อย่าให้ยากแก่ใจไพร่  ไต่ความเมืองจึงตรง  ดำรงพิภพให้เย็น  ดับเข็ญนอกเข็ญใน”          ๔.  ด้านอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น                ๔.๑  ลิลิตพระลอเป็นตัวอย่างของการแต่งคำประพันธ์ในยุคหลัง  กวียุคหลังถือโคลงในลิลิตพระลอเป็นแบบอย่างของการแต่งคำประพันธ ์ที่ถูกต้องตามหลักฉันทลักษณ์  เช่น  พระโหราธิบดี  ได้นำโคลงไปไว้ในหนังสือจินดามณี  ได้แก่ โคลง “เสียงฤาเสียงเล่าอ้าง  อันใด  พี่เอย”  โคลงบางบทดีเด่นในเรื่องการเล่นสัมผัสอักษร  การเดินทางของพระลอมีลีลาแบบนิราศ  เช่นเดียวกับการเดินทางของพระมหาอุปราชในลิลิตตะเลงพ่าย  มีลีลาเป็นนิราศเช่นเดียวกับลิลิตพระลอ  และโคลงบางบทถือเป็นครูของวรรณคดียุคหลัง  เช่น  บุญเจ้าจอมโลกเลี้ยง   โลกา (ลิลิตพระลอ)  บุญเจ้าจอมภพพื้น   แผ่นสยาม  (ลิลิตตะเลงพ่าย)  เล็บมือนางนี้ดั่ง     เล็บนาง  เรียมนา (ลิลิตพระลอ) เล็บมือนางนี้หนึ่ง     นขา  นางฤา  (ลิลิตตะเลงพ่าย)                ๔.๒  การสร้าสรรค์วรรณคดีอื่นและสิ่งบันเทิงใจด้านต่าง ๆ  ลิลิตพระลอทำให้มีวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ เช่น  บทละครเรื่องพระลอนรลักษณ์  ของสมเด็จพระวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์  ในรัชกาลที่ ๓,  บทละครเรื่องพระลอ  ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระนราธิปพันธ์พงศ์  สำนวนหนึ่ง  และบทละครเรื่องพระลอ  ของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน  กุญชร)  อีกสำนวนหนึ่ง  ในสมัยรัชกาลที่ ๕  พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร  ทรงแปลพระลอเป็นบทละครภาษาอังกฤษ ชื่อ The  Magic  Lotus   ส่วนทางภาคเหนือมีโคลงพระลอสอนโลก  และซอเรื่องพระลอ (คำว่า “ซอ” เป็นบทลำนำของไทยภาคเหนือ) นอกจากนั้นยังมีภาพเขียน  บทเพลง  ภาพยนตร์  เกี่ยวกับเรื่องพระลออีกด้วย

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลิลิตตะเลงพ่าย

                                         ลิลิตตะเลงพ่าย


                                                      ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสและ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในรัชกาลที่ 3 โดยตะเลงในที่นี้หมายถึง มอญ ที่มาของเรื่อง 1.พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) 2.วรรณคดีเก่าเรื่อง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ 3.จินตนาการของผู้แต่ง คือ ช่วงบทนิราศ จุดมุ่งหมายในการแต่ง 1เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 2.ฉลองตึกวัดพระเชนตุพนฯ สมัย รัชกาลที่ 3  3.สร้างสมบารมีของผู้แต่ง(เพราะผู้แต่งขอไว้ว่าถ้าแต่งเสร็จขอให้สำเร็จสู่พระนิพพาน )
ผู้แต่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ลักษณะการแต่ง    แต่งด้วยลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไป จำนวน 439 บท โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาพย์ จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์

เนื้อเรื่องย่อ     เริ่มต้นชมบุญบารมีและพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วดำเนินความตามประวัติศาสตร์ว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงทราบว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรได้ครองราชย์สมบัติ พระองค์จึงตรัสปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ พระพี่น้องทั้งสองอาจรบพุ่งชิงความเป็นใหญ่กัน ยังไม่รู้เหตุผลประการใด ควรส่งทัพไปเหยียบดินแดนไทย เป็นการเตือนสงครามไว้ก่อน ถ้าเหตุการณ์เมืองไทยไม่ปกติสุขก็ให้โจมตีทันที ขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบตามพระราชดำรีนั้น พระจ้าหงสาวดีจึงตรัสให้ พระมหาอุปราชเตรียมทัพร่วมกับพระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่ แต่พระมหาอุปราชกราบทูลพระบิดาว่าโหรทายว่าชันษาของพระองค์ร้ายนักสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าพระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีโอรสล้วนแต่เชี่ยวชาญกล้าหาญในศึกมิเคยย่อท้อการสงคราม ไม่เคยพักให้พระราชบิดาใช้เลยต้องห้ามเสียอีก และ หวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก จึงเตรียมจัดทัพหลวงและทัพหัวเมืองต่างๆ เพื่อยกมาตีไทย ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรเตรียมทัพจะไปตีกัมพูชาเป็นการแก้แค้นที่ถือโอกาสรุกรานไทยหลายครั้งระหว่างที่ไทยติดศึกกับพม่า พอสมเด็จพระนเรศวรทรงทราบข่าวศึกก็ทรงถอนกำลังไปสู้รบกับพม่าทันที ทัพหน้ายกล่วงหน้าไปตั้งที่ตำบลหนองสาหร่ายฝ่ายพระมาหาอุปราชาทรงคุมทัพมากับพระเจ้าเชียงใหม่รี้พลรบ 5 แสน เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ทรงชมไม้ ชมนก ชมเขา และคร่าครวญถึงพระสนมกำนัลมาตลอดจนผ่านไทรโยคลำกระเพิน และเข้ายึดเมืองกาญจนบุรีได้โดยสะดวก ต่อจากนั้นก็เคลื่อนพลผ่านพนมทวนเกิดลางร้ายลมเวรัมภาพัดฉัตรหัก ทรงตั้งค่ายหลวงที่ตำบลตระพังตรุ ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพยุหยาตราทางชลมารค ไปขึ้นบกที่ปากโมก บังเกิดศุภนิมิต ต่อจากนั้นทรงกรีฑาทัพทางบกไปตั้งค่ายที่ตำบลหนองสาหร่าย เมื่อทรงทราบว่าพม่าส่งทหารมาลาดตะเวน ทรงแน่พระทัยว่าพม่าจะต้องโจมตีกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่ จึงรับสั่งให้ทัพหน้าเข้าปะทะข้าศึกแล้ว ล่าถอยเพื่อลวงข้าศึกให้ประมาท แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงนำทัพหลวงออกมาช่วย ช้างพระที่นั่งลองเชือกตกมันกลับเขาไปในหมู่ข้าศึกแม่ทัพนายกองตามไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตรัสท้าพระมหาอุปราชากรำยุทธหัตถีจนมีชัยชนะ พระมหาอุปราชาขาดคอช้าง สมเด็จพระเอกาทศรถกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะแก่มังจาชโรเมื่อกองทัพพม่าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระนเรศวรมาหาราชรับสั่งให้สร้างสถูปเจดีย์เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระมหาอุปราชา เสด็จแล้วจึงเลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เป็นอับดับจบเนื้อเรื่อง

ตัวละคร 
ฝ่ายไทย  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
      หรือพระองค์ดำ พระมหาธรรมราชาเป็นพระบรมชนกนาถ มีพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ กษัตริย์องค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถ เป็นผู้ประกาศเอกราชหลังจากที่เสียไปให้กับพม่าถึง ๑๕ ปี รวมทั้งขยายราชอาณาจักรให้กว้างใหญ่ ทำสงครามกับพม่า จนพม่าหวาดกลัวไม่กล้ามารบกับไทยอีกเลยเป็นเวลาร้อยกว่าปี ทรงเสด็จสวรรคตในขณะที่เสด็จไปทำศึกกับกรุงอังวะ แต่เกิดประชวรเป็นระลอกที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษ ประชวรได้ ๓ วัน จึงเสด็จสวรรคต วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๑๔๘ พระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ครองราชย์ได้ ๑๕

     สมเด็จพระเอกาทศรถ
    หรือพระองค์ขาว อนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ทรงดำรงตำแหน่งอุปราช ครองเมืองพิษณุโลก แต่มีเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ทรงออกศึกทำสงครามร่วมกับสมเด็จพระนเรศวรตลอด และทรงครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร พระนามว่าสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๓ มีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาค และมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทรราชา พระศรีศิลป์ และพระองค์ทอง สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๓ พระชนม์พรรษาได้ ๕๐ พรรษาเศษ ครองราชย์ได้ห้าปี

     พระมหาธรรมราชา    สมเด็จพระมหาธรรมราชาหรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๑ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๕๘ พระราชบิดาเป็นเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย พระราชมารดาเป็นพระญาติฝ่ายพระราชชนนี สมเด็จพระไชยราชาธิราช แห่งราชวงศ์สุวรรณภูมิ พระองค์ทรงรับราชการเป็นที่ขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมตำรวจรักษาพระองค์ หลังจากที่เหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนักยุติลง และพระเฑียรราชาได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๙๑ แล้วขุนพิเรนทรเทพ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา แล้วได้รับโปรดเกล้าให้ไปครองเมืองพิษณุโลก สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีศักดิ์เทียบเท่าพระมหาอุปราช ได้รับพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรี พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์เป็นพระอัครมเหสี ต่อมามีพระราชโอรสและพระราชธิดาสามพระองค์คือ พระสุพรรณเทวี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ
 
  สมเด็จพระวันรัต    เดิมชื่อพระมหาเถรคันฉ่อง พระชาวมอญ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแก้ว หรือวัดใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน มีบทบาทครั้งสำคัญ คือ ในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ท่านเป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้พระยาเกียรติ์ และพระยารามที่พระเจ้าหงสาวดีส่งมาให้ลอบกำจัดพระนเรศวร พระมหาเถรคันฉ่องทราบก่อน จึงนำความกราบทูลพระนเรศวร และเกลี้ยกล่อมให้ พระยาเกียรติ์ และพระยาราม รับสารภาพและเข้าร่วมกับพระนเรศวร
วีรกรรมอีกครั้งหนึ่งของท่านคือ การขอพระราชทานอภัยโทษ บรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่ทัน ต้องโทษประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัตได้ขอบิณฑบาต พระราชทานอภัยโทษบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
 
   พระยาศรีไสยณรงค์    แม่ทัพกองหน้าที่สมเด็จพระนเรศวรตั้งขึ้น มีกำลังพล ๕ หมื่น ยกไปตั้งที่หนองสาหร่าย แต่ไม่สามารถต้านทานทัพพม่าที่มีกำลังถึง ๕ แสนได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงมีโองการให้ถอยทัพเพื่อจะตีโอบล้อมจนได้รับชัยชนะในที่สุด หลังจากนั้นพระยาศรีไสยณรงค์ได้ตามทัพพระยาจักรียกทัพไปตีเมืองตะนาวศรี และมริด เพื่อเป็นการไถ่โทษ
   
   พระราชฤทธานนท์    ปลัดทัพหน้า ที่สมเด็จพระนเรศวรแต่งตั้งให้ไปรบเป็นเพื่อนกับพระยาศรีไสยณรงค์
     เจ้าพระยาจักรี     รับผิดชอบด้านการพลเรือน และดูแลหัวเมืองทางภาคกลางและภาคเหนือ ถูกอาญาประหารชีวิตในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา แต่พระวันรัตมาขอพระราชทานอภัยโทษ สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษ แล้วรับสั่งให้นำทัพ ๕ หมื่นคน ไปตีเมืองตะนาวศรี และมริด เป็นการไถ่โทษ
     เจ้าพระยาคลัง          รับผิดชอบด้านการต่างประเทศ ถูกอาญาประหารชีวิตเช่นเดียวกับเจ้าพระยาคลัง แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วรับสั่งให้นำทัพ ๕ หมื่นคน ไปตีทวาย เป็นการไถ่โทษ  

       เจ้ารามราฆพ
          กลางช้างของพระนเรศวร หนึ่งในสี่ทหารที่ตามเสด็จทันในการทำยุทธหัตถี และไม่โดนอาญาประหารชีวิต แถมยังได้รับการปูนบำเหน็จจากสมเด็จพระนเรศวร เพื่อตอบแทนความกล้าหาญ  

      ขุนศรีคชคง          ควาญช้างของพระเอกาทศรถ แถมยังได้รับการปูนบำเหน็จจากสมเด็จพระนเรศวร เพื่อตอบแทนความกล้าหาญ หนึ่งในสี่ทหารที่ตามเสด็จทันในการทำยุทธหัตถี  

 นายมหานุภาพ ควาญช้างของสมเด็จพระนเรศวร ถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิตในช่วงที่กระทำยุทธหัตถี และได้รับพระราชทานยศและทรัพย์สิ่งของ ผ้าสำรดแก่บุตรภรรยา เป็นการตอบแทนความชอบ  
     หมื่นภักดีศวร          กลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ถูกทหารพม่ายิงปืนถูกอกเสียชีวิตในช่วงที่กระทำยุทธหัตถี พระราชทานยศและทรัพย์สิ่งของ ผ้าสำรดแก่บุตรภรรยา เป็นการตอบแทนความชอบ  

     หมื่นทิพย์เสนา          นายทหารที่สมเด็จพระนเรศวรสั่งให้ไปดูทัพหน้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง และนำตัวหมื่นคนหนึ่งกลับมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทัพหน้า และเป็นผู้ส่งข่าวให้ทัพหน้าถอยทัพหลังจากถูกพม่าตีอย่างหนัก  

     หมื่นราชามาตย์  
           นายทหารที่เดินทางไปพร้อมกับหมื่นทิพย์เสนาเพื่อแจ้งข่าวให้ทัพหน้าถอยทัพ  คาดว่าจะเป็นนายทหารที่หมื่นทิพย์เสนานำมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร  
     หลวงญาณโยคโลกทีป โหรผู้ถวายคำพยากรณ์และหาฤกษ์ยามกับสงเด็จพระนเรศวร ในคราวที่พระองค์กำลังจะตัดสินพระทัยทำสงคราม โดยพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้จตุรงคโชค คือ โชคดี ๔ ประการ ได้แก่ มีโชคดี , วัน เดือน ปี ในการทำสงครามดี , กำลังทหารเข้มแข็งดี , อาหารอุดมสมบูรณ์ดี และเชิญเสด็จเคลื่อนทัพในยามเช้า วันอาทิตย์ขึ้น ๑๑ ค่ำ ย่ำรุ่ง ๘ นาฬิกา ๓๐ นาที ในเดือนยี่ นับเป็นฤกษ์สิริมงคล  
    หลวงมหาวิชัย พราหมณ์ผู้ที่ทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรจะยกทัพออกรบ และ  กระทำยุทธหัตถีจนได้รับชัยชนะ  


ฝ่ายพม่า
  พระเจ้าหงสาวดี

                หรือนันทบุเรง กษัตริย์พม่า เดิมชื่อมังชัยสิงห์ราช โอรสของบุเรงนอง ดำรงตำแหน่งอุปราชในสมัยบุเรงนอง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากบุเรงบอง พระราชบิดา ทรงหวังที่จะสร้างความยิ่งใหญ่เหมือนกับพระราชบิดา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้างยถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์
       พระมหาอุปราชา                 โอรสของนันทบุเรง ดำรงดำแหน่งอุปราชาในสมัยของนันทบุเรง เดิมชื่อมังสามเกียด หรือมังกะยอชวา เป็นเพื่อนเล่นกันกับพระนเรศวรในสมัยที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงหงสาวดี ทรงทำงานสนองพระราชบิดาหลายครั้ง โดยเฉพาะราชการสงคราม และได้ถวายงานครั้งสุดท้ายในการยกทัพ ๕ แสนมาตีไทย และสิ้นพระชนม์ในการทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช        พระยาจิดตอง                   แม่กองการทำสะพานเชือกข้ามแม่น้ำกระเพิน        สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ สมิงซายม่วน กองลาดตระเวนที่พระมหาอุปราชาส่งให้มาหาข่าวของกองทัพไทย ก่อนที่จะตัดสินพระทัยยกกองทัพเข้าปะทะกับไทย        มางจาชโร                    พี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา ผู้ที่ชนช้างกับพระเอกาทศรถ และถูกพระเอกาทศรถฟันด้วยพระแสงของ้าวคอขาด        เจ้าเมืองมล่วน
                   ควาญช้างของพระมหาอุปราชา ผู้ที่สมเด็จพระนเรศวรรับ


สั่งให้กลับไปแจ้งข่าวการแพ้สงคราม และการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาแก่พระเจ้าหงสาวดี  

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลิลิตโองการแช่งน้ำ

ลิลิตโองการแช่งน้ำ


ลิลิตโองการแช่งน้ำบางทีเรียกว่า  ประกาศโองการแช่งน้ำ  หรือประกาศแช่งน้ำโคลงห้า  หนังสือเรื่องนี้เป็นวรรณคดีเรื่องเดียวในรัชสมัยสมเด็จพระรามา ธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ที่มีอยู่
ในปัจจุบันและต้นฉบับจารึกเป็นตัวอักษรขอม  สันนิษฐานว่าผู้แต่งคงจะเป็นพราหมณ์ผู้กระทำ
พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  หรือพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล  ในสมัยสมเด็จพระรามา
ธิบดีที่ ๑  พระราชพิธีนี้เป็นพระราชพิธีที่ข้าราชการทหาร  พลเรือนและเจ้าประเทศราช  แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์  เป็นพระราชพิธีในราชสำนักขอมอันมีอินเดียเป็นต้นเค้า  ในสมัยรัชกาลที่ ๔  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างพระแสงศรปลัยวา ต  พระแสงศรอัคนิวาต  และพระแสงศรพรหมมาสตร์ขึ้น  และใช้พระแสงศรทั้ง ๓  องค์นี้  แทงน้ำตอนท้ายบทสรรเสริญเทพเจ้าแต่ละองค์

 
ผู้แต่ง :  
สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง )
 
ประวัติ :
ต้นฉบับเดิมที่เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตามหลักฐานซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทงพระแสงศรอัคนิวาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"
 
ทำนองแต่ง 
มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ    ถ้อยคำที่ใช้ส่วนมากเป็นคำไทยโบราณ นอกจากนั้นมีคำเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ด้วย คำสันสกฤตมีมากกว่าคำบาลี
 
ความมุ่งหมาย  : 
ใช้ อ่านในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองสืบต่อกันมาจนเลิกไป เมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ. ๒๔๗๕
 
เรื่องย่อ :   
เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร  พระพรหมตามลำดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้นกัลป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่  เกิดมนุษย์  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  การกำหนดวัน เดือน ปี และการเริ่มพระราชาธิบดีในหมู่คน  แล้ว อัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองอำนาจอันมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขี้ยวเล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ  ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน
 
ตัวอย่างในลิลิตโองการแช่งน้ำ :
          สรรเสริญพระนารายณ์  โอมสิทธิสรวงศรแกล้ว  แผ้วมฤตยู  เอางูเป็นแท่น  แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน  บินเอาครุฑมาขี่  สี่มือถือสังข์จักร  คทาธรณีกีรุอวตาร  อสุรแลงลาญทัก  ททักคนีจรนาย(แทงพระแสงศรปลัยวาต)
          ไฟไหม้โลกเมื่อสิ้นกัลป์
                   นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์   จักร่ำจักรพาลเมื่อไหม้
        กล่าวถึงตระวันเจ็ดอันพลุ่ง   น้ำแล้งไข้ขอดหาย
            เจ็ดปลามันพลุ่งหล้าเป็นไฟ  วาบจตุรบายแผ่นขว้ำ
        ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า     แลบล้ำสิสอง
          สาปแช่งผู้คิดคดทรยศ
          จงมาสูบเอาเขาผู้บ่ซื่อ  ชื่อใครใจคด  ขบถเกียจกาย  ว่ายกะทู้ฟาดฟัด  ควานแกนมัดศอก     หอกคนเต้าเท้าหก  หลกเท้าให้ไปมิทันตาย  หงายระงมระงม  ยมบาลลากไป  ไฟนรกปลาบปลิ้นดิ้นพลาง  เขาวางเหนืออพิจี  ผู้บดีบซื่อ  ชื่อใครใจคดขบถต่อเจ้า  ผู้ผ่านเกล้าอยุธยา  สมเด็จพระรามาธิบดี  ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชาธิราช  ท่านมีอำนาจมีบุญ  คุณอเนกาอันอาไศรยร่ม
          ให้พรผู้ซื่อสัตย์
          ใครซื่อเจ้าเติมนาง  ใครซื่อรางควายทอง  มิ่งเมืองบุญศักดิ์แพร่  เพิ่มช้างม้าแผ่วัวควาย  ใครซื่อฟ้าสองย้าวเรงยิน  ใครซื่อสินเภตรา  ใครซื่อใครรักษ์เจ้าจงยศ  กลืนชนมาให้ยืนยิ่ง  เทพายศล่มฟ้า  อย่ารู้อันตราย  ได้ใจกล้าดังเพชร  ขจายขจรอเนกบุญ  สมเด็จพระรามาธิบดี  ศรีสินทรบรมมหา  จักรพรรดิศรราชเรื่อยหล้า  สุขผ่านฟ้าเบิกสมบูรณ์พ่อสมบูรณ์

 
คุณค่าของหนังสือ :
          ๑.  ด้านภาษาและสำนวนโวหาร   ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้เป็นลิลิตเรื่องแรกในประวัติวรรณคดีไทย  ใช้ถ้อยคำภาษาที่เก่า  มีคำภาษาเขมร บาลี สันสกฤต และคำไทยโบราณปนอยู่มาก  คำบางคำต้องสันนิษฐานความหมาย  ทำให้อ่านเข้าใจยาก  ทั้งนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าคำมีความขลังและศักดิ์สิทธิ์  เกิดอารมณ์หวาดกลัว  ไม่กล้าคิดคดทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน  ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้จึงมีคุณค่า  สามารถใช้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้คำในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นได้
          ๒.  ด้านสังคมและวัฒนธรรม
                ๒.๑  ทางการปกครอง  เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับพระราชพิธีแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษั ตริย์ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์   จึงเป็นวรรณคดีที่มีคุณค่าต่อระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย  เพราะเป็นการให้สัตย์สาบานว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษ ัตริย์และบ้านเมือง  ทำให้เกิดความสามัคคีมีผลให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่น
                ๒.๒  ทางวัฒนธรรม  วรรณคดีเล่มนี้เป็นหลักฐานแสดงถึงการได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากข อมและอินเดีย  พิธีพราหมณ์ได้เข้ามาใช้ปะปนในพระราชพิธีต่าง ๆ และยังทำให้เห็นลักษณะการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเ ทวราชอีกด้วย
                ๒.๓  ความเชื่อถือทางศาสนา  ลิลิตโองการแช่งน้ำนี้แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ในพิธีสาปแ ช่งผู้ทุจิตโดยอาศัยอำนาจของเทวดาและภูตผี   ตามความเชื่อถือของพราหมณ์  ซึ่งเป็นศาสนาของอินเดียและพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานี้ เป็นพิธีตามศาสนาพรามหมณ์  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงนำพิธีทางพุทธศาสนามาเพิ่มเติมในภายหลัง
          ๓.  ด้านอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น  ลิลิตโองการแช่งน้ำ  เป็นวรรณคดีที่ใช้ในการสวดหรืออ่านโองการแช่งน้ำของพราหมณ์ผู้ท ำพิธี  ลิลิตโองการแช่งน้ำมีอิทธิพลต่อวรรณคดีสมัยหลัง  ทำให้กวีเกิดความบันดาลใจแต่งวรรณคดีเรื่องอื่นขึ้น  ได้แก่  โคลงพิธีถือน้ำแลคเชนทรัศวสนาน  พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นวรรณคดีที่กล่าวถึงพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา  

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความหมายของประโยค

ความหมายของประโยค



 ประโยค เกิดจากคำหลายๆคำ หรือวลีที่นำมาเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบให้แต่ละคำมีความสัมพันธ์กัน มีใจความสมบูรณ์ แสดงให้รู้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่น สมัครไปโรงเรียน ตำรวจจับคนร้าย เป็นต้น 

ส่วนประกอบของประโยค 
     ประโยคหนึ่ง ๆ จะต้องมีภาคประธานและภาคแสดงเป็นหลัก และอาจมีคำขยายส่วนต่าง ๆ ได้ 

     1. 
ภาคประธาน 
ภาคประธานในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำ ผู้แสดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญของประโยคภาคประธานนี้ อาจมีบทขยายซึ่งเป็นคำหรือกลุ่มคำมาประกอบ เพื่อทำให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น 

     2. 
ภาคแสดง 
ภาคแสดงในประโยค คือ คำหรือกลุ่มคำที่ประกอบไปด้วยบทกริยา บทกรรมและส่วนเติมเต็ม บทกรรมทำหน้าที่เป็นตัวกระทำหรือตัวแสดงของประธาน ส่วนบทกรรมทำหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทำ และส่วนเติมเต็มทำหน้าที่เสริมใจความของประโยคให้สมบูรณ์ คือทำหน้าที่คล้ายบทกรรม แต่ไม่ใช้กรรม เพราะมิได้ถูกกระทำ


วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

น่าที่ของคำกริยา

คำกริยา



 คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ สภาพ หรือการกระทำของคำนาม และคำสรรพนามในประโยค คำกริยาบางคำอาจมี
ความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง บางคำต้องมีคำอื่นมาประกอบ และบางคำต้องไปประกอบคำอื่นเพื่อขยายความ
ชนิดของคำกริยา คำกริยาแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ (อกรรมกริยา) เป็นกริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ ชัดเจนในตัวเอง เช่น
ครูยืน
น้องนั่งบนเก้าอี้
ฝนตกหนัก
เด็กๆหัวเราะ
คุณลุงกำลังนอน
        2. กริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ (สกรรมกริยา) เป็นกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น
แม่ค้าขายผลไม้
น้องตัดกระดาษ
ฉันเห็นงูเห่า
พ่อซื้อของเล่นมาให้น้อง
         3. กริยาที่ต้องมีคำมารับ คำที่มารับไม่ใช่กรรมแต่เป็นส่วนเติมเต็ม (วิกตรรถกริยา) คือ คำกริยานั้นต้องมี
คำนามหรือสรรพนามมาช่วยขยายความหมายให้สมบูรณ์ เช่นคำว่า เป็น เหมือน คล้าย เท่าคือ เสมือน ดุจ เช่น
ชายของฉันเป็นตำรวจ
เธอคือนักแสดงที่ยิ่งใหญ่
ลูกดุจแก้วตาของพ่อแม่
แมวคล้ายเสือ
          4. กริยาช่วย (กริยานุเคราะห์) เป็นคำที่เติมหน้าคำกริยาหลักในประโยคเพื่อช่วยขยายความหมายของคำกริยาสำคัญ
ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นคำว่า กำลัง จะ ได้ แล้ว ต้อง อย่า จง โปรด ช่วย ควร คงจะ อาจจะ เป็นต้น เช่น
เขาไปแล้ว
โปรดฟังทางนี้
เธออาจจะถูกตำหนิ
ลูกควรเตรียมตัวให้พร้อม
เขาคงจะมา
จงแก้ไขงานให้เรียบร้อย
         ข้อสังเกต กริยาคำว่า ถูก ตามปกติจะใช้กับกริยาที่มีความหมายไปในทางไม่ดี เช่น ถูกตี ถูกดุ ถูกตำหนิ ถ้าความหมายในทางดีอาจใช้คำว่า ได้รับ เช่น ได้รับคำชมเชย ได้รับเชิญ เป็นต้น
          5. กริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม (กริยาสภาวมาลา) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายกับคำนาม อาจเป็นประธาน เป็นกรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
เขาชอบออกกำลังกาย (ออกกำลังกายเป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม เป็นกรรมของประโยค)
กินมากทำให้อ้วน (กินมากเป็นกริยาที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
นอนเป็นการพักผ่อนที่ดี (นอนเป็นกริยาทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
หน้าที่ของคำกริยา มีดังนี้
1. ทำหน้าที่เป็นกริยาสำคัญของประโยค เช่น คนกินข้าว นกบินมาเป็นฝูง เป็นต้น
2. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น กินมากทำให้อ้วน เป็นต้น
3. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น ฉันชอบเต้นแอร์โรบิกตอนเช้า เป็นต้น
4. ทำหน้าที่ช่วยขยายกริยาสำคัญให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น พี่คงจะกลับบ้านเย็นนี้ เป็นต้น
5. ทำหน้าที่ช่วยขยายคำนามให้เข้าใจเด่นชัดขึ้น เช่น ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวผัด น้องชายชอบบะหมี่แห้ง เป็นต้น